House of Gems
About Us
Publication
Gallery
Map
Shop
Promotion

Map URL

Promotion

สิ่งมีชีวิตยุคต่าง ๆ


การแบ่งยุคทางธรณีวิทยาด้วยซากดึกดำบรรพ์ (fossil) สามารถแบ่งได้ดังนี้

4,560 - 545 ล้านปีที่ผ่านมา
มหายุค Pre-cambrian หรือ Cryptozoic (หรือ hidden life) เริ่มตั้งแต่โลกกำเนิดขึ้นมา การเย็นตัวของโลก การเกิดทะเล บรรยากาศ สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นเป็นพวกพืชและสัตว์ชั้นต่ำ สัตว์ที่พบทั้งหมดอยู่ในน้ำทะเล สัตว์พวกนี้มีโครงสร้างแบบง่าย ๆ และเป็นสัตว์เซลล์เดียว หรือสัตว์ที่มีลำตัวอ่อน สัตว์พวกนี้อาจมีขนาดเล็กและไม่มีส่วนโครงร่างแข็งให้เก็บรักษา อาจมีรูปร่างคล้าย ๆ กับระยะตัวอ่อนของสัตว์ทะเลในปัจจุบัน สัตว์เซลล์เดียวพวกโปรโตซัวและฟองน้ำ มหายุคนี้สามารถแบ่งออกเป็น 3 ยุคคือ
1. Pre-Archean หรือ Hadean (4,560-3,800 ล้านปีที่ผ่านมา) เป็นยุคที่โลกเพิ่งเกิดขึ้นมา อุณหภูมิสูงมาก
2. Archean (3,800 - 2,500 ล้านปีที่ผ่านมา) เป็นช่วงเวลาที่เริ่มมีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น คือ Prokaryotes ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเซลล์อย่างง่าย ๆ ไม่มีอาณาเขตของนิวเคลียสที่ชัดเจน สารพันธุกรรมในเซลล์จึงอยู่ทั่วไปในเซลล์ การสืบพันธุ์เป็นแบบไม่อาศัยเพศ ที่สร้างลูกหลานที่มีชุดสารพันธุกรรมเหมือนกับพ่อแม่
3. Proterozoic (2,500 - 545 ล้านปีที่ผ่านมา) เป็นช่วงที่มีการกำเนิดและวิวัฒนาการของ Eukaryotes หรือกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มีเซลล์ขนาดใหญ่กว่า พวก Prokaryotes ประมาณ 1,000 เท่า มีนิวเคลียสที่เป็นที่อยู่ของสารพันธุกรรม มีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ มีโครงสร้างภายในเซลล์ที่เรียกว่า organelles ซึ่งทำหน้าที่เฉพาะเช่น การหายใจ การสังเคราะห์แสง พืชสีเขียวมี Chloroplasts ที่สามารถเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์มาสร้างคาร์โบไฮเดรตได้

545 - 248 ล้านปีที่ผ่านมา
มหายุค Palaeozoic เป็นช่วงที่มีสิ่งมีชีวิตโบราณเกิดขึ้นและพบอยู่ในหินชั้น มีการเกิดทวีปและโครงสร้างธรณีวิทยาแบบกระทะหงาย(geosyncline) ซากดึกดำบรรพ์ประจำมหายุคนี้คือ Trilobite ตอนปลายของมหายุคมีสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายปลาและพวกสัตว์เลื้อยคลานเริ่มเกิดขึ้น สำหรับพืชนั้นไม่มีซากดึกดำบรรพ์เหลือให้ศึกษามากนัก มหายุคนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 6 ยุคคือ
1. Cambrian (545 - 495 ล้านปีที่ผ่านมา) พบซากดึกดำบรรพ์พวกสาหร่าย, Arthropods, Trilobite, ฟองน้ำ, Coelenterate, หนอนทะเล, กลุ่มหอยฝาเดียว (mullusk), หอยสองฝา (ostracods, bivalved, crustaceans), หอยฝาเดียวชนิด gastropods ที่มีขนาดเล็กมาก สัตว์ประจำยุคนี้คือ Trilobite ที่มีจำนวนมากที่สุด รองลงมาคือ Brachiopods
2. Ordovician (495 - 443 ล้านปีที่ผ่านมา) เริ่มพบสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง มีลักษณะคล้ายปลา, สัตว์ปะการังชนิด tetracoral, Graptolite, Echinoid, ปลาดาว(asteroid), Crinoids, และพวก Bryozoan ซึ่งมีลักษณะคล้ายปะการัง Trilobite ที่พบในยุคนี้ มีลักษณะแตกต่างไปจากพวกที่พบอยู่ในยุค Cambrian ซากดึกดำบรรพ์ประจำยุคคือ Graptolites
3. Silurian (443 - 417 ล้านปีที่ผ่านมา) สัตว์ที่พบเป็นพวกเดียวกับยุคก่อน แต่ทว่าเป็นตระกูล (family) หรือเชื้อสาย (genera)ใหม่ มีสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายแมงป่อง อาศัยอยู่ในทะเลสาบหรือปากน้ำเรียกว่า แมงป่องทะเล (Eurypterid), ปลาที่มีเหงือกด้านล่าง, สัตว์หายใจในอากาศเช่น แมงป่อง กิ้งกือ และมีชีวิตอยู่บนบก พืชที่พบเป็นพวก Club moss หรือ Lycopsidsคล้ายพวกสามร้อยยอดหรือช้องนางคลี่
4.Devonian (417 - 354 ล้านปีที่ผ่านมา) ในยุคนี้มีสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายปลาเพิ่มมากขึ้น พืชบกและสัตว์เลื้อยคลานโบราณ ปลาที่พบเช่นปลาไม่มีกราม (ostracoderms), ปลาตัวแบน ๆ (placoderms), ฉลาม(sharks), และปลากระดูก(bony fishes, osteichthyes) เริ่มเกิดสัตว์ต้นตระกูลของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ (amphibian) ซึ่งชอบอากาศร้อนชื้น นอกจากนี้ยังพบแมงมุม, กิ้งกือ, และแมลง พืชบกที่พบเป็นพวกไม่มีรากและเป็นหมู่ บางชนิดมีลักษณะคล้ายเขาควาย จำนวนของ trilobite ลดลงอย่างมาก สัตว์ประจำยุคนี้คือปลา
5. Carboniferous (354-290 ล้านปีที่ผ่านมา) ซึ่งเป็นยุคที่กินเวลายาวนานมาก บางครั้งจะแบ่งย่อยออกเป็น 2 epoch คือ Mississippian หรือ Carboniferous ล่าง กับ Pennsylvanian หรือ Carboniferous บน
- Mississippian อากาศอบอุ่นเหมาะต่อการเจริญเติบโตของปะการังและพวก Brachiopod มาก สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดหินปูนมาก เริ่มมีการพบสัตว์ประเภทมีกระดูกสันหลัง, สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ, และสัตว์บกอื่น ๆ มีพืกระจายทั่วไปตามบริเวณที่เป็นบึง หนองน้ำและทะเลสาบ พืชเหล่านี้ได้กลายเป็นแหล่งถ่านหินที่สำคัญ สัตว์ประจำยุคนี้คือ Crinoids นอกจากนี้ยังมีสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเช่น Bryozoan, Foraminifera, ปะการัง, หอยสองฝา, และ หอยฝาเดียว
- Pennsylvanian มีการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเลหลายครั้ง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นหนอง บึงหรือแอ่งต่ำ มีพืชบกจำนวนมาก เช่นต้นเฟินขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นแหล่งสำคัญของอินทรียวัตถุที่ทำให้เกิดชั้นถ่านหินทั่วไป ต้นไม้ที่พบมากคือ ไม้มีเกล็ด (scale trees หรือ lycopods), เฟินมีเม็ด (seed fern หรือ pteridosperms) ต้นไม้เหล่านี้ได้กลายเป็นแหล่งถ่านหินและน้ำมันที่สำคัญของโลกในปัจจุบัน) แมลงเริ่มมีหลายชนิดและมีปริมาณมากขึ้น จนในยุคนี้ได้ชื่อว่าเป็นยุคของแมลงสาบ นอกจากนี้ยังมีแมงมุม, แมงป่อง, กิ้งกือ, สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำมีการวิวัฒนาการมากขึ้น จนสามารถจะอยู่บนบกและในน้ำได้นาน ๆ
6. Permian (290 - 248 ล้านปีที่ผ่านมา) ป่าไม้ยังคงเกิดต่อไปและมีการทับถมเช่นเดียวกับยุคก่อน พื้นที่ในยุค Carboniferous ถูกยกตัวสูงขึ้น ตอนปลายยุคเกิดยุคน้ำแข็งขึ้น ทำให้ไม้มีเกล็ดและเฟินมีเมล็ดสูญพันธุ์ไป ไม้สนมีปริมาณเพิ่มขึ้น ในแม่น้ำและบึงมีปลาหลายชนิด รวมทั้งสัตว์เลื้อยคลาน ตามริมฝั่งพบสัตว์เลื้อยคลานที่มีความว่องไวมากขึ้น นอกจากนี้ยังพบซากไข่ของสัตว์เลื้อยคลาน เริ่มมีแมลงปีกแข็งเกิดขึ้น สิ้นสุดยุคนี้เกิดธารน้ำแข็งปกคลุมทั่วโลก พืชและสัตว์หลายชนิดสูญพันธุ์ไป เช่น Fusilinid, Foraminifera, Trilobite ฯลฯ

248 - 65 ล้านปีที่ผ่านมา
มหายุค Mesozoic มีอากาศอบอุ่นสบาย ได้ชื่อว่าเป็นมหายุคของสัตว์เลื้อยคลาน สิ่งมีชีวิตมีการวิวัฒนาการเพิ่มมากขึ้น ซากดึกดำบรรพ์ประจำมหายุคคือ Ammonite ซึ่งมีมากในทะเล มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในสัตว์มีกระดูกสันหลัง เริ่มมีนก, สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม, ไม้ดอกและแมลงใหม่ ๆ การเพิ่มปริมาณของไม้ดอกเป็นสัดส่วนโดยตรงกับการเพิ่มจำนวนของแมลงซึ่งช่วยในการผสมเกสร สัตว์มีกระดูกสันหลังมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะไดโนเสาร์ และสัตว์เลื้อยคลานในทะเล แต่สูญพันธุ์หมดเมื่อสิ้นมหายุค สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ยุคคือ
1. Triassic (248 -206 ล้านปีที่ผ่านมา) เป็นช่วงที่อากาศอบอุ่น มีบางบริเวณเป็นทะเลทราย สัตว์เลื้อยคลานมีการวิวัฒนาการสูงและพบเป็นปริมาณมาก มีโครงกระดูกแข็งแรง มีเปลือกหุ้มไข่ ไดโนเสาร์เริ่มปรากฏเป็นครั้งแรกเนื่องจากพบรอยเท้าเป็นจำนวนมากในหินยุคนี้ เริ่มมีการวิวัฒนาการของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม บางทฤษฏีกล่าวว่านกเริ่มเกิดขึ้นในยุคนี้ ในทะเลมีปลาและสัตว์น้ำอื่น ๆ เพิ่มจำนวนขึ้นมาก โดยเฉพาะ Ammonite และ Gastropod
2. Jurassic (206 - 142 ล้านปีที่ผ่านมา) เป็นยุคของไดโนเสาร์ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 พวกคือ
- Sauropod ที่มีคอยาว หางยาว เดินสี่ขา มีขนาดใหญ่ที่สุด
- Stegosaurus มีแผงหลัง น้ำหนักประมาณ 10 ตันแต่มีสมองเล็กมาก
- Theropod เป็นพวกกินเนื้อและเดินด้วยขาหลัง
เริ่มมีสัตว์เลื้อยคลานที่สามารถบินได้ แต่มีขนาดเล็ก ในทะเลมี Ammonite ที่มีขนาดใหญ่ Gastropod, Pelecypods, ปลาหมึก ฯลฯ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กเกิดขึ้นในยุคนี้ และพบนกที่เก่าแก่ที่สุดคือ Archaeopteryx พวกพืชมีการวิวัฒนาการมากขึ้น ซึ่งคล้ายกับพืชมีดอกและผลในยุคปัจจุบัน พืชที่พบมากคือขิง Cycads, สนและเฟิน จำนวนและพันธุ์ของแมลงเพิ่มมากขึ้น
3. Cretaceous (142 - 65 ล้านปีที่ผ่านมา) เป็นช่วงที่มีน้ำทะเลท่วมเข้าไปในส่วนของแผ่นดิน ทำให้เกิดการทับถมของตะกอนที่หนามากทั้งส่วนบนแผ่นดินและในทะเล ตอนใกล้จะสิ้นยุคนี้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงจนทำให้เกิดภูเขาแอนดีส ร็อกกี้และภูเขาทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปเอเชีย ในยุคนี้สัตว์ต่าง ๆ เพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากแหล่งอาหารสมบูรณ์ พบไม้ใหญ่จำพวก Willow, Oak, Magnolia, Maple, Beech, Holly
ฯลฯ ไดโนเสาร์แพร่กระจายไปทุกทวีป ในทะเลมีเต่ายักษ์ Archelon พบซากดึกดำบรรพ์ของนก Archaeopteryx ที่มีชื่อเสียงมาก มีลักษณะคล้ายสัตว์เลื้อยคลานคือมีฟันแหลม ปล้องหาง และมีกรงเล็บที่ปีก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมพบน้อยและยังไม่มีความสำคัญมากนัก ในทะเลยังมี Ammonite แต่มีรูปร่างผิดแปลกไป ปลาที่มีก้างพบเห็นได้ทั่วไป

พอสิ้นสุดยุค ไดโนเสาร์, สัตว์เลื้อยคลานในทะเล, Ammonite และ Belemnitesได้สูญพันธุ์ไปหมด สาเหตุกการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันมาโดยตลอด มีการพบชั้นดินอายุ 65 ล้านปีที่ห่อหุ้มโลก มีความหนาประมาณ 2.5 เซนติเมตร พบว่ามีปริมาณของธาตุ Iridium มากกว่าชั้นอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบ ซึ่งแร่ Iridium พบยากมากบนเปลือกโลก แต่จะพบมากที่ใจกลางโลก และจากเทหวัตถุบนฟากฟ้า (extra-terrestrial bodies) ซึ่งนักวิทยาศาสตร์สรุปว่า มีเหตุการณ์ 3 อย่างที่นำไปสู่การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ในปลายยุคคือ
1. การลดระดับของน้ำทะเล มีการขึ้นลงอย่างมาก และอย่างรวดเร็ว ภูมิอากาศที่เปลี่ยนและการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย ทำให้นำมาซึ่งการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตหลายสายพันธุ์
2. การพุ่งชนของอุกกาบาต และการระเบิดอย่างรุนแรงของภูเขาไฟ โดยเชื่อว่าเมื่อ 65 ล้านปี มีดาวหางหรือดาวพระเคราะห์น้อยพุ่งเข้าชนโลก ที่บริเวณคาบสมุทรยูคาทาน ในประเทศเม็กซิโก เนื่องจากการค้นพบผลึก Quartz ขนาดเล็ก จำนวนมาก ในบริเวณที่เป็นหลุมขนาดใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 18 กิโลเมตร ซึ่งผลของการชนโลกครั้งนั้น ทำให้เกิดความร้อนสูงอย่างฉับพลัน แล้วตามด้วยอากาศหนาวเย็นจัดถึงจุดเยือกแข็ง เนื่องจากฝุ่นละอองจากการชน ลอยขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศทำให้บดบังแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมายังผิวโลก เป็นระยะเวลานานหลายเดือน ทำให้พืชไม่สามารถดำรงชีพด้วยการสังเคราะห์แสงได้ ทำให้พืชตายลง เมื่อพืชตายลง ทำให้สัตว์ที่กินพืชขาดอาหาร มีผลทำให้สัตว์หลายชนิดสูญพันธุ์ไป
3. การระเบิดอย่างรุนแรงของภูเขาไฟที่อินเดีย และในมหาสมุทรแปซิฟิค ทำให้เกิดเป็นที่ราบสูงเดคคาน (Deccan Traps) การระเบิดของภูเขาไฟ มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ทำให้สิ่งมีชีวิตบางชนิดไม่สามารถปรับตัวได้กับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ทำให้สูญพันธุ์ไป


65 ล้านปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน
มหายุค Cenozoic หรือ Kainozoic มีการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศหลายครั้ง ทำให้สัตว์บางชนิดสูญพันธุ์ไป ทวีปต่าง ๆ มีลักษณะคล้าย ๆ กับปัจจุบันนี้ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและไม้ดอกแพร่กระจายไปทั่ว สัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่สูญพันธุ์ไป พบนกและปลาที่มีลักษณะคล้ายในยุคปัจจุบัน ในทะเลยังพบ Gastropod และ Pelecypods จำนวนมากแต่มีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเล็กน้อย Cephalopod และ Brachiopod ลดปริมาณลงมาก มหายุคนี้แบ่งออกเป็น 2 ยุคคือ
1. Tertiary (65 - 1.8 ล้านปีที่ผ่านมา) แบ่งออกเป็น 5 Epoch คือ
1.1. Paleocene เป็นช่วงที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกินแมลง เกิดการเพิ่มจำนวนและวิวัฒนาการมาก เนื่องจากสมัยที่ไดโนเสาร์มีจำนวนมาก สัตว์เหล่านี้สามารถออกหาอาหารได้ในช่วงเวลากลางคืนเท่านั้น พบซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ที่ลักษณะคล้ายลิง แต่หน้าคล้ายหมาป่า (lemur) และสัตว์ฟันแทะ (rodent) แต่มีขนาดเล็ก นกเริ่มมีลักษณะคล้ายปัจจุบันมาก นอกจากนี้ยังพบสัตว์เลื้อยคลาน เช่น จระเข้ เต่า
1.2. Eocene พบต้นตระกูลของม้า โดยมี 4 เท้า มีเล็บ 4 อัน พบค้างคาว และสัตว์คล้ายปลาวาฬ ในบริเวณเทือกเขาหิมาลัย และเมดิเตอร์เรเนียน พบว่ามีการทับถมของสัตว์เซลล์เดียว ประเภท foraminifera จำนวนมาก
1.3. Oligocene ภูมิอากาศอบอุ่น พบซากดึกดำบรรพ์ของ ลิงไม่มีหาง (apes) ลิง สุนัข แมว พบมีป่าสนและ
1.4. Miocene
1.5. Pliocene
2. Quaternary แบ่งออกเป็น 2 Epoch คือ
2.1. Pleistocene
2.2. Holocene


 

Developed by KathiKapook Inc.